กีฬา
ตะกร้อทีมชาติไทยสยบมาเลเซียคว้าแชมป์ทีมชุดคิงส์คัพสมัย 35

ทีมไทยสร้างประวัติศาสตร์! คว้าแชมป์คิงส์คัพตะกร้อยอดเยี่ยม 35 สมัย

การแข่งขันตะกร้อชิงแชมป์โลก ชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพครั้งที่ 37 ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 8 กันยายน 2567 นั้น ได้มีการดวลเพลงเตะในประเภทเซปักตะกร้อทีมชุดชายรอบชิงชนะเลิศระหว่างไทยกับมาเลเซีย ซึ่งเป็นคู่ปรับอันดับหนึ่งของวงการตะกร้อโลก

สร้างอาณาจักรตะกร้อไทย ยกระดับขึ้นสู่ยอดเยี่ยมของเอเชีย

เส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ของทีมตะกร้อไทย

ทีมตะกร้อไทยนับเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของวงการตะกร้อโลก โดยเฉพาะในประเภทเซปักตะกร้อทีมชุดชาย ซึ่งปีนี้ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์คิงส์คัพมาครอง 35 สมัยแล้ว นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และสะท้อนถึงความยอดเยี่ยมของนักกีฬาตะกร้อไทยการแข่งขันครั้งนี้ ทีมไทยต้องพบหน้ากับคู่แข่งตัวแสบอย่างมาเลเซีย ซึ่งเป็นคู่ปรับของทีมไทยมาโดยตลอด โดยในรอบชิงชนะเลิศนั้น ทีมไทยส่ง "ยาวปืนใหญ่" สิทธิพงศ์ คำจันทร์ ลงมาเสิร์ฟ, สุพศิน บุญเรือง ยืนหน้าซ้ายชง และ วรายุทธ์ จันทรเสนา ประจำการหน้าขวาฟาด ขณะที่มาเลเซียส่ง มูฮัมหมัด ฮาฟิค ไฮรูล ทำหน้าที่เสิร์ฟ, ฟาร์ฮาน อาดัม ชง และ โมฮาหมัด อัซลาน อาเลียส ฟาดในเซตแรก ทีมมาเลเซียเริ่มต้นได้ดี โดยเฉพาะการเสิร์ฟของ มูฮัมหมัด ฮาฟิค ไฮรูล ที่เล่นงานทีมไทยจนตั้งหลักไม่ได้ ส่งผลให้มาเลเซียเอาชนะไปด้วยคะแนน 15-4 แต่ในเซตสองและเซตที่สาม ทีมไทยสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และแก้เกมได้อย่างยอดเยี่ยม โดยส่ง "ไข่นุ้ย" กฤษณพงศ์ นนทะโคตร มาเสิร์ฟแทน และด้วยการเล่นที่เหนือกว่าของไทย จนสามารถเอาชนะมาเลเซียไปได้ 2-1 เซต พลิกกลับมาคว้าชัยชนะ

ความสำเร็จทีมตะกร้อไทยในรายการคิงส์คัพ

การคว้าแชมป์คิงส์คัพประจำปี 2567 นี้ถือเป็นการคว้าแชมป์ครั้งที่ 35 ของทีมตะกร้อไทย ซึ่งถือเป็นการยืนยันว่าทีมตะกร้อไทยเป็นมหาอำนาจของวงการตะกร้อโลก และได้รักษาความเป็นเลิศในระดับนานาชาติมายาวนานนอกจากชัยชนะในประเภทเซปักตะกร้อทีมชุดชายแล้ว ในปีนี้ทีมตะกร้อไทยยังสามารถคว้าแชมป์ในทุกประเภทที่ส่งนักกีฬาลงแข่งขัน อีกทั้งยังได้โชว์ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเภทลอดห่วงชาย, ลอดห่วงหญิง, 4 คนผสม, 4 คนชาย, เซปักตะกร้อหญิง, 4 คนหญิง และเซปักตะกร้อชาย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของวงการตะกร้อไทย

อนาคตของวงการตะกร้อไทย

ความสำเร็จที่ทีมตะกร้อไทยคว้ามาได้นั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศไทยสร้างชื่อเสียงในระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้วงการตะกร้อไทยมีการพัฒนาและยกระดับขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างนักกีฬาดาวรุ่งที่มีคุณภาพ เพื่อสานต่อความยิ่งใหญ่ของตะกร้อไทยในอนาคตนอกจากนี้ การที่ประเทศไทยสามารถยืนหยัดในฐานะมหาอำนาจของวงการตะกร้อโลกมาอย่างต่อเนื่อง ยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของนักกีฬาและผู้บริหารวงการกีฬาตะกร้อไทย ในการยกระดับกีฬาตะกร้อให้ก้าวไกลไปสู่ความยอดเยี่ยมระดับเอเชีย และเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆ ได้ศึกษาและพัฒนาต่อไป
ทัพพาราลิมปิกไทย คว้า 6 ทอง 11 เงิน 13 ทองแดง ประธานพาราลิมปิกไทย ชื่นชมผลงาน

ไทยแสนภูมิใจ! แห่งความสำเร็จอันน่าตื่นตาตื่นใจในปารีสพาราลิมปิกเกมส์ 2024

การแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ โดยการชิงชัยกันในวันที่ 7 กันยายน 2567 นักกีฬาทีมชาติไทยได้ยกระดับสมรรถภาพอีกครั้ง คว้าเหรียญรางวัลเพิ่มเติมมาอีก 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง ประภาพสะท้อนถึงความฝันที่แข็งแกร่งและความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของนักกีฬาคนพิการไทย

ปารีสพาราลิมปิกเกมส์ 2024 เปิดทางสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของทัพนักกีฬาคนพิการไทย

ยกน้ำหนักคว้าเหรียญทองแดงอย่างภาคภูมิใจ

วัตรพล วงษา นักกีฬายกน้ำหนักที่ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในรุ่น 55 กก. หญิง มีความมุ่งมั่นในการเตรียมตัวอย่างเต็มที่ ซึ่งความพยายามและความตั้งใจของเขานั้น ทำให้เขาสามารถคว้าเหรียญทองแดงมาครอบครอง นับเป็นอีกความสำเร็จที่น่าชื่นชมสำหรับวงการกีฬาพาราลิมปิกของไทย กมลพรรณ กระราชเพชร เป็นตัวอย่างที่ดีของนักกีฬาที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และมุ่งมั่นฝึกซ้อมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด

สายสุนีย์ เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์พาราลิมปิกของไทย

หนึ่งในนักกีฬาที่โดดเด่นในทัพพาราลิมปิกไทยที่กรุงปารีสในครั้งนี้ คือ สายสุนีย์ จ๊ะนะ ผู้ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถคว้าเหรียญทองได้ถึง 3 เหรียญในการแข่งขันฟันดาบประเภทบุคคล และอีก 1 เหรียญทองแดง ในการแข่งขันฟันดาบประเภททีมหญิง ซึ่งนับเป็นอีกสถิติอันน่าภาคภูมิใจของนักกีฬาไทยในพาราลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ สายสุนีย์ จ๊ะนะ พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความแข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จในการแข่งขันครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งสถิติอันน่าภาคภูมิใจของวงการกีฬาพาราลิมปิกของไทย

บีม ชัยวัฒน์ เขย่าสถิติด้วยสมรรถภาพที่โดดเด่น

นอกจากสายสุนีย์แล้ว บีม ชัยวัฒน์ รัตนะ นักกีฬาวีลแชร์เรซซิ่งที่สร้างผลงานอันโดดเด่นในกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ด้วย โดยบีมได้คว้าเหรียญทองในประเภทวีลแชร์เรซซิ่ง 100 เมตร คลาส T34 และเหรียญเงินในประเภทวีลแชร์เรซซิ่ง 800 เมตร คลาส T34 ซึ่งเวลาที่เขาทำได้ในการแข่งขันครั้งนี้ ถือเป็นการทำลายสถิติพาราลิมปิกด้วย บีมได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความแข็งแกร่งทั้งในร่างกายและจิตใจ ที่ทำให้เขาสามารถประสบความสำเร็จในการแข่งขันอย่างน่าประทับใจ

น้องอุ้ม ศศิราวรรณ คว้าเหรียญทองแดงเพิ่มความภาคภูมิใจให้กับทีมชาติไทย

ศศิราวรรณ อินทโชติ หรือ น้องอุ้ม นักวิ่ง 200 เมตร คลาส T47 ที่ลงชิงชัยในครั้งแรกของเธอในเวทีพาราลิมปิก แม้จะยังไม่สามารถคว้าเหรียญที่สูงกว่าได้ แต่เธอก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะทำผลงานให้ดีที่สุด จนสามารถคว้าเหรียญทองแดงมาครอบครอง น้องอุ้มมีความตั้งใจและความเชื่อมั่นในตนเองอย่างมาก แม้จะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรก แต่เธอก็พร้อมที่จะพัฒนาตัวเองมากขึ้น และพร้อมที่จะปล่อยเสียงเชียร์จากพี่น้องคนไทยให้เป็นพลังให้กับเธอในการลงแข่งขันครั้งต่อไป

ร.ท.ณัยณพ ภิรมย์ภักดี ชื่นชมผลงานนักกีฬาทีมชาติไทยอย่างภาคภูมิใจ

ร.ท.ณัยณพ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงภาพรวมของทัพนักกีฬาไทยในการแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ 2024 ครั้งนี้ว่า "นักกีฬาไทยทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งนักกีฬาหน้าใหม่และหน้าเก่า เราภาคภูมิใจมาก บางเหรียญมาแบบเซอร์ไพรส์ แต่บางเหรียญก็คาดหวังไว้อยู่แล้ว อย่าง บีม ชัยวัฒน์ รัตนะ ในวีลแชร์เรซซิ่ง คลาส T34 ที่คว้าเหรียญทองในการแข่งขัน 100 เมตร พร้อมทำลายสถิติพาราลิมปิกเกมส์ และยังได้เหรียญเงิน 800 เมตรอีกด้วย ส่วน สายสุนีย์ จ๊ะนะ ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ได้ 3 เหรียญทอง และ 1 เหรียญทองแดง ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเรา"ร.ท.ณัยณพ ภิรมย์ภักดี ยังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของแรงเชียร์จากพี่น้องชาวไทยว่า "ขอขอบคุณพี่น้องชาวไทยทุกคนที่เป็นแรงใจให้กับนักกีฬาไทยในการแข่งขันครั้งนี้ ทัพนักกีฬาไทยทำผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม นำเหรียญกลับมาให้คนไทยได้ภาคภูมิใจ"การแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจของวงการกีฬาพาราลิมปิกไทย ด้วยผลงานอันโดดเด่นของนักกีฬาที่ทำให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดในเวทีระดับโลกได้อย่างภาคภูมิใจ ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ย่อมเป็นแรงผลักดันให้นักกีฬาไทยก้าวไปสู่การสร้างสถิติและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต
See More
มาเลเซียจัดหนัก! เล็งโอน 2 ลูกเสี้ยว “กัปตันเบิร์นลีย์-ดาวรุ่งพีเอสวี” ยกระดับทีมชาติ

มาเลเซียเลือดฟุตบอลขึ้นแท่นรั้งต้นเสาทีมชาติ

สมาคมฟุตบอลมาเลเซีย (เอฟเอเอ็ม) มีแผนนำตัวนักเตะลูกครึ่งมาเลเซียที่มีฝีเท้าโดดเด่นจากลีกยุโรปมาร่วมทีมชาติมาเลเซีย โดยมือกัปตันทีมเบิร์นลีย์ในศึกแชมเปียนชิพอังกฤษและดาวรุ่งจากพีเอสวีทั้งคู่ไม่ปิดโอกาสที่จะร่วมทัพเสือเหลือง

มาเลเซียทุ่มเงินก้อนใหญ่ล่าดาวดัง พร้อมเป็นมหาอำนาจฟุตบอลแห่งอาเซียน

ประตูแห่งความฝันแห่งแดนเสือเหลือง

สมาคมฟุตบอลมาเลเซีย (เอฟเอเอ็ม) กำลังมองหานักเตะต่างชาติที่มีเชื้อสายมาเลเซียมาร่วมทีมชาติ เพื่อก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจฟุตบอลในภูมิภาคอาเซียน โดยล่าสุดทาบทามนักเตะสำคัญ 2 รายจากลีกยุโรป ประกอบด้วย1. จอช บราวน์ฮิลล์ : มิดฟิลด์ชาวอังกฤษวัย 28 ปี ซึ่งมีเชื้อสายมาเลเซียจากคุณย่า ปัจจุบันเป็นกัปตันทีมเบิร์นลีย์ในศึกแชมเปียนชิพ และเคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีกอังกฤษมาแล้ว 4 ฤดูกาล มีมูลค่าในตลาดนักเตะอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านยูโร (555 ล้านบาท)2. อิกกี ฮูเบน : ปีกชาวเนเธอร์แลนด์วัย 19 ปี ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับทีมสำรอง ยอง พีเอสวี ในศึกเอร์สเตอร์ ดิวิซี (ลีกรองของเนเธอร์แลนด์) เคยติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชุดยู-18 และมีคุณย่าเกิดที่มาเลเซีย

ข้อตกลงสัญชาติ - ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในเอเชีย

ทั้งสองรายต่างแสดงความสนใจที่จะย้ายสัญชาติมาเล่นให้ทีมชาติมาเลเซีย หากข้อตกลงการเปลี่ยนสัญชาติเสร็จสมบูรณ์ จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับทีมชาติมาเลเซียอย่างมาก โดยเฉพาะจอช บราวน์ฮิลล์ ที่มีประสบการณ์ระดับสูงจากการเคยเล่นในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ อีกทั้งยังเป็นกัปตันทีมอยู่ในปัจจุบัน ส่วน อิกกี ฮูเบน ก็เป็นดาวรุ่งที่มีศักยภาพสูง สามารถช่วยเสริมทัพของมาเลเซียให้แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างแน่นอนการเข้ามาของทั้งสองรายจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับทีมชาติมาเลเซียในทุกด้าน ทั้งในเรื่องของประสบการณ์ระดับสูง ความเป็นผู้นำ และคุณภาพเกมรุก ซึ่งจะช่วยยกระดับฟุตบอลมาเลเซียให้แข็งแกร่งและแข่งขันได้ในเวทีระดับภูมิภาคและระดับทวีปต่อไป นับเป็นก้าวที่สำคัญของมาเลเซียในการมุ่งสู่การเป็นมหาอำนาจฟุตบอลในภูมิภาคอาเซียน

คู่หูเสือเหลือง พร้อมคุมเกมรุกล่าเกียรติยศ

จอช บราวน์ฮิลล์ และ อิกกี ฮูเบน หากก้าวข้ามขีดกั้นทางสัญชาติมาสวมเสื้อทีมชาติมาเลเซีย จะเข้ามากอปรประสบการณ์ระดับสูง ความเป็นผู้นำ และพลังเกมรุก ร่วมกับทัพเสือเหลืองซึ่งเป็นจุดแข็งหลักของบ้านเกิด สร้างแนวรับ-กองกลาง-กองหน้า ที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยฝีเท้าระดับท็อป เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ฟุตบอลมาเลเซียประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในเวทีระดับภูมิภาคและระดับทวีปการผนึกกำลังของกัปตัน บราวน์ฮิลล์ ที่เคยลงสนามในพรีเมียร์ลีกอังกฤษมากถึง 111 นัด และดาวรุ่งอย่าง อิกกี ฮูเบน จากพีเอสวี จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับทัพเสือเหลืองได้อย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้สมาคมฟุตบอลมาเลเซียบรรลุเป้าหมายในการเป็นมหาอำนาจฟุตบอลของภูมิภาคในอนาคต
See More