ความบันเทิง
เปิดโผรางวัลคนทำหนัง “สุพรรณหงส์ครั้งที่ 32 ประจำปี 2566”
หนังไทยอยู่ในยุคทอง ในปี 2566 ที่ผ่านมาถือเป็นปีทองของวงการภาพยนตร์ไทย กับการมีภาพยนตร์เข้าฉายมากถึง 54 เรื่อง และมีภาพยนตร์ที่สร้างรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท ถึง 4 เรื่อง ได้แก่ ขุนพันธ์ 3, สัปเหร่อ, ธี่หยด และ 4Kings2 นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในการสร้างสรรค์ผลงานที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ชม และสามารถดึงดูดคนในวงกว้างให้เข้ามาร่วมชมภาพยนตร์ไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณภาพหนังไทยพา "ความร่วมมือร่วมใจ" ก้าวสู่ยุคทอง

ความสำเร็จของภาพยนตร์ไทย

ในปี 2566 ที่ผ่านมา ภาพยนตร์ไทยมีความโดดเด่นและประสบความสำเร็จอย่างมาก ด้วยจำนวนภาพยนตร์ที่เข้าฉาย 54 เรื่อง ซึ่งจัดว่ามีมากกว่าปีที่ผ่านมาหลายเท่า และภาพยนตร์ไทยสามารถสร้างรายได้ทะลุ 100 ล้านบาทได้ถึง 4 เรื่อง ได้แก่ ขุนพันธ์ 3, สัปเหร่อ, ธี่หยด และ 4Kings2 แสดงให้เห็นถึงคุณภาพและความสามารถในการเข้าถึงใจผู้ชมของภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน

การสนับสนุนจากรัฐและองค์กรภาค

ความสำเร็จของภาพยนตร์ไทยในปีนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงวัฒนธรรม ที่ร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ จัดงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32 ประจำปี 2566 เพื่อยกย่องและชื่นชมความสำเร็จของภาพยนตร์ไทย โดยในปีนี้มีการเพิ่มรางวัลใหม่ "รางวัลภาพยนตร์ไทยรายได้สูงสุด" เพื่อมอบให้กับภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปี 2566 อย่างภาพยนตร์เรื่อง "สัปเหร่อ" ด้วย นับเป็นการส่งเสริมและให้การสนับสนุนวงการภาพยนตร์ไทยอย่างเป็นรูปธรรม

คอนเซ็ปต์แห่งความร่วมมือ

สำหรับงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32 ในปีนี้ ได้จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ "แสงแห่งกันและกัน" โดยไอเดียมาจาก "แสงแห่งศรัทธา" ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สร้างหนังและผู้ชมภาพยนตร์ต่างร่วมกันรักษา และสอดส่องดูแล ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมือร่วมใจในกันและกัน เพื่อก้าวไปสู่ "ยุคทอง" ครั้งใหม่ของหนังไทยต่อไป
ใจหาย ผู้จัดละครดัง ต้องปิดบริษัทที่สร้างมา20กว่าปี แบกรับไม่ไหวให้พนักงานได้แยกย้าย

ความผันผวนในวงการละคร: การปรับตัวและความรับมืออย่างมืออาชีพของผู้จัดละครชื่อดัง

วงการละครไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในสภาวะการณ์ปัจจุบันที่อุตสาหกรรมนี้ประสบกับวิกฤตการหดตัวของผู้ชม เราได้รับฟังเรื่องราวและแนวทางในการปรับตัวของ นก ฉัตรชัย และ บริษัท เมตตา และ มหานิยม ซึ่งเป็นผู้จัดละครที่มีประสบการณ์ยาวนานในการสร้างสรรค์ผลงานดังกว่า 20 ปี

ภาคความคิดเห็น: การปรับตัวของผู้จัดละครมืออาชีพกับวิกฤตของวงการละครไทย

ก้าวเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลง: ความท้าทายที่ผู้จัดละครต้องเผชิญ

ผู้จัดละคร นก ฉัตรชัย และ บริษัท เมตตา และ มหานิยม กำลังเผชิญกับความกดดันและความท้าทายอย่างมาก ในช่วงที่วงการละครไทยก้าวเข้าสู่ยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมนี้ประสบกับปัญหาการลดลงของจำนวนผู้ชม และความลังเลของช่องทีวีในการลงทุนผลิตละคร ส่งผลให้ผู้จัดหลายรายต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในฐานะผู้จัดละครอาวุโส นก ฉัตรชัย เผยว่าตนเองกำลังอยู่ในช่วงการปรับตัวอย่างเต็มที่ เขารู้สึกเครียดและกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับอนาคตของวงการละครและบริษัทของตน ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและความนิยมของประชาชนที่เปลี่ยนไปเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจปิดบริษัทลงชั่วคราว เพื่อให้พนักงานสามารถหางานใหม่ทำได้ ในขณะที่เขาเองก็ยังคงมองหาแนวทางใหม่ๆ ในการประกอบอาชีพต่อไป

การปรับตัวและการพิจารณาแนวทางใหม่: ตัวอย่างจากประสบการณ์ของ นก ฉัตรชัย

ความท้าทายที่ผู้จัดละคร นก ฉัตรชัย ต้องเผชิญในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา เพราะเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว เขาก็ได้ผ่านวิกฤตการขาดแคลนงานมาแล้ว ในขณะนั้น เขาได้ปรับตัวด้วยการเสาะหาโอกาสใหม่ๆ ทั้งในและนอกวงการละคร ซึ่งทำให้เขาสามารถผ่านพ้นวิกฤตนั้นไปได้ในทางกลับกัน ผู้จัดบริษัท เมตตา และ มหานิยม ซึ่งเป็นภรรยาของ นก ฉัตรชัย ให้ความเห็นว่า ในปีนี้และปีหน้า สถานการณ์น่าจะย่ำแย่กว่านั้น เนื่องจากคาดการณ์ว่างานในวงการละครจะมีน้อยลงอีก ยิ่งทำให้ นก ฉัตรชัย รู้สึกเครียดและกังวลเป็นอย่างมาก เขานอกจากจะต้องปิดบริษัทช่ัวคราวเพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถหางานใหม่ได้แล้ว ยังต้องค้นหาโอกาสและงานใหม่ๆ สำหรับตัวเองอย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ นก ฉัตรชัย ยังคงมีความหวังและยังไม่ได้ถอดใจ เขายังคงพยายามหางานและโครงการใหม่ๆ มาดำเนินการ และศึกษาหาแนวทางในการปรับตัวเพื่อให้สามารถประกอบอาชีพต่อไปได้ ซึ่งทั้งเขาและภรรยาก็ยังคงให้กำลังใจและดูแลกันเป็นอย่างดี

ความรับมือและการรักษาขวัญกำลังใจ: บทบาทของ บริษัท เมตตา และ มหานิยม

ในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ บริษัท เมตตา และ มหานิยม ซึ่งเป็นบริษัทของ นก ฉัตรชัย และภรรยา ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและรักษาขวัญกำลังใจของทีมงาน แม้ว่าในที่สุดพวกเขาจะต้องตัดสินใจปิดบริษัทลงชั่วคราว แต่ด้วยความทุ่มเทและความรับผิดชอบต่อพนักงานที่มีความผูกพันกับบริษัทมากว่า 20 ปี ทำให้พวกเขาดูแลเรื่องการให้พนักงานแยกย้ายไปหางานใหม่ได้อย่างเหมาะสมนอกจากนี้ บริษัท เมตตา และ มหานิยม ยังคงให้การสนับสนุนและเป็นที่พึ่งพิงของ นก ฉัตรชัย ในช่วงเวลาที่เขารู้สึกเครียดและกังวล เนื่องจากเขาเป็นผู้จัดละครเต็มตัวและสร้างผลงานมากมาย การสูญเสียบริษัทและงานที่เขารักและทุ่มเทมาตลอดกว่า 20 ปี จึงส่งผลกระทบกับเขาเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยความรักและการให้กำลังใจจากภรรยา ทำให้ นก ฉัตรชัย ยังคงมีความหวังและยังไม่ถอดใจในการหางานใหม่มาประกอบอาชีพต่อไป

ก้าวข้ามวิกฤต: แนวทางในการปรับตัวและพัฒนาของผู้จัดละคร

ในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ นก ฉัตรชัย และ บริษัท เมตตา และ มหานิยม ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและความสามารถในการปรับตัวอย่างน่าชื่นชม แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายและความกังวลอย่างมาก แต่พวกเขายังคงมองหาและศึกษาแนวทางใหม่ๆ อย่างไม่หยุดนิ่งด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมามากกว่า 20 ปี ในการสร้างสรรค์ผลงานละครที่ประสบความสำเร็จมากมาย พวกเขาน่าจะมีศักยภาพที่จะก้าวข้ามวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไปได้ ด้วยการหาโอกาสและงานใหม่ๆ ในสายงานที่เกี่ยวข้อง หรือแม้กระทั่งการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจดังนั้น การปรับตัวและความรับมือของ นก ฉัตรชัย และ บริษัท เมตตา และ มหานิยม จึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้จัดละครรายอื่น ๆ ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ในอุตสาหกรรมนี้ และยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบวิชาชีพสายสร้างสรรค์ ให้มีความมุ่งมั่นและความอดทนในการผ่านพ้นความท้าทายต่าง ๆ ไปได้
See More
DEK Film SPU สุดเจ๋ง กวาด 2 รางวัล ประกวดหนังสั้น Proud Thai

นักศึกษา FD64 คว้ารางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศ จากการประกวดภาพยนตร์สั้น "พราวไทย"

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ขอแสดงความยินดีกับนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล รหัส FD64 ที่ประสบความสำเร็จในการประกวดภาพยนตร์สั้น "พราวไทย: Proud Thai" โดยคว้ารางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศอันดับที่ 1 มาครอง

ความเป็นเอกลักษณ์ไทย ถ่ายทอดสู่จอภาพยนตร์

โครงการส่งเสริมเอกลักษณ์ไทย

การประกวดภาพยนตร์สั้น "พราวไทย: Proud Thai" จัดขึ้นโดยสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษารุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษา ค้นคว้า และถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับเอกลักษณ์ของชาติไทยผ่านผลงานภาพยนตร์สั้น นำเสนอมุมมองและจิตสำนึกในคุณค่าของวัฒนธรรมและค่านิยมอันดีงามของความเป็นไทยไปยังสาธารณชน

ทีมนักศึกษาคว้ารางวัลใหญ่

ในโครงการการประกวดภาพยนตร์สั้น "พราวไทย: Proud Thai" นี้ ทีม Threenity Production คว้ารางวัลชนะเลิศ พร้อมรับทุนการศึกษา 100,000 บาท รวมทั้งโล่และใบประกาศเกียรติคุณ ขณะที่ทีม EW Production คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 และได้รับทุนการศึกษา 70,000 บาท ควบคู่กับโล่และใบประกาศเกียรติคุณเช่นกัน

ผลงานประจักษ์แห่งความเป็นไทย

ทีม Threenity Production ภายใต้การดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ชาญวิทย พรหมพิทักษ์ อาจารย์ภัทรพงษ์ อุดมรัตนานันท์ และอาจารย์จิตรเมธ ฉลองพันธรัตน์ ได้สร้างสรรค์ผลงาน "ทุ้ง" อันสะท้อนถึงความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น สะท้อนชุมชนที่รักษาวิถีแห่งความเป็นไทยขณะที่ทีม EW Production ภายใต้การดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์กิติพงษ์ จีนะวงค์ และอาจารย์เสฐียรพงษ์ กรินรักษ์ นำเสนอภาพยนตร์สั้นเรื่อง "มีตั๋วไหม" เล่าเรื่องราวการดำรงอยู่ของวิถีชีวิตพื้นบ้านที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย อ่อนโยน และมีความเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นไทย

ความสำเร็จไปสู่ความภาคภูมิใจ

นอกจากรางวัลอันทรงเกียรติที่ได้รับแล้ว ผลการคว้ารางวัลครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงคุณภาพและมาตรฐานของหลักสูตรภาพยนตร์และสื่อดิจิทัลของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ที่สามารถผลิตนักศึกษาที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ที่เป็นที่ยอมรับในระดับชาติ อีกทั้งยังเป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัยที่สามารถผลิตบัณฑิตชั้นนำในวงการภาพยนตร์และสื่อดิจิทัลของประเทศ
See More